บทกวี ชนะเลิศ รางวัลวรรณศิลป์อุชเชนี ครั้งที่ 3
“จนกว่าชีวิตจะนิทรา”
เปลเก่า..ยังโยนไกวไปช้าช้า
กล่อมนิทราชีวิตใหม่ในอู่อุ่น
โยนหน้าโยนหลังอย่างสมดุล
การุณย์ร่างนั้นทั่วสรรพางค์
ผ้าผวยผืนใหม่ห่มให้เจ้า
แม่ร้องเพลงเบาเบาอยู่ข้างข้าง
เพลงโปรดประโลมใจไปพลางพลาง
มีรักวางในอู่นอนเจ้าผ่อนพัก
เจ้าตื่นมาจะพาเล่นสวนหลังบ้าน
ดูดอกบัวสีหวานเพิ่งออกฝัก
ดูปุยเมฆปั้นรูปเป็นลิง, ยักษ์ ฯลฯ
ดูผีเสื้อทายทักดอกรักบาน
แววหวัง-โชนฉายนัยน์ตาเจ้า
เหมือนว่าสุขนี้นานเนาไม่อวสาน
ระบายยิ้มรับของขวัญบรรณาการ
ยืนยันวิญญาณสุนทรี
ทว่า, เจ้าเติบโตจนเต็มร่าง
อาจพบบัวดอกด่างและร้างสี
หม่นเมฆครึ้ม ทึมเทา-เท่าเมฆมี
และดอกไม้ไม่ปรานีผีเสื้อนัก
ผ้าผวยผืนบางก็ด่างเปื้อน
ไม่อุ่นเหมือนผืนเก่า-เจ้ารู้จัก
เพลงโปรดก็เปลี่ยนไปเสียหลายวรรค
ไร้อู่นอนผ่อนพักหัวใจแพ้
ลูกเอ๋ย..เช่นนี้แหละชีวิต
เจ้าอย่าพร่ำพินิจเพียงบาดแผล
ศิโรราบซ้ำซ้ำ-ความอ่อนแอ
ลั่นกุญแจคุมขังความหวังใด
เจ้าจงยืมหัวใจวัยทารก
มาเต้นในหัวอกที่หมกไหม้
ยืมแววตาวัยเยาว์อันวาวไว
“ชอบ” อาจหลับใหลอยู่ใน “ชัง”
ชีวิตเย้าเจ้าเล่นอยู่เช่นนี้
โศกร่ำ-ปรีดีมิอาจหยั่ง
เปลชีวิตเห่ไกวในทุกครั้ง
เจ้าจงเอาความหวังเป็นหลังพิง
และเปลเก่ายังโยนไกวในเร็ว-ช้า
กล่อมหัวใจเหว่ว้าและไหววิ่ง
โอละเห่ ทุกความหวัง ทั้งความจริง
กว่าชีวิตสนิทนิ่งในนิทรา
ปาลิตา ผลประดับเพ็ชร์
ความคิดเห็น