1)  แรงเสริมบวก  (Positive Reinforcement)  หมายถึง  การให้สิ่งเสริมแรงที่อินทรีย์ (Organism) ชอบตอบสนองหลังอินทรีย์กระทำพฤติกรรมที่พึงประสงค์ เช่น ให้รางวัลกับนักเรียนที่ทำคะแนนสอบได้สูงสุด  ชมเชยนักเรียนที่แต่งกายเรียบร้อย เป็นต้น

2) แรงเสริมลบ (Negative Reinforcement) หมายถึง การถอดถอนสิ่งเสริมแรงที่อินทรีย์ชอบหลังอินทรีย์ (Organism) กระทำพฤติกรรมที่พึงประสงค์ หรือ การเปลี่ยนสภาพการณ์หรือเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมบางอย่างก็อาจจะทำให้อินทรีย์ (Organism) แสดงพฤติกรรมได้ เช่น นักเรียนที่ชอบคุยและแหย่เพื่อนเวลาให้ทำงาน จึงถูกครูจับไปนั่งเดี่ยวที่มุมห้องและต้องนั่งทำงานคนเดียว หลังจากที่นักเรียนตั้งใจทำงานครูก็อนุญาตให้กลับมานั่งที่ตามเดิมของตนรวมกับเพื่อนๆ ได้ เป็นต้น

สกินเนอร์เห็นความสำคัญของการให้แรงเสริมมาก จึงได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับกับการให้แรงเสริมไว้อย่างละเอียด  ในด้านการเสริมแรงนั้น สกินเนอร์ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยได้แยกวิธีการเสริมแรงออกเป็น 2 วิธี คือ การให้แรงเสริมทุกครั้ง (Continuous Reinforcement) เป็นการให้แรงเสริมทุกครั้งที่ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ตามที่กำหนดไว้  และการให้แรงเสริมเป็นครั้งคราว (Partial Reinforcement) คือไม่ต้องให้แรงเสริมทุกครั้งที่ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์

สกินเนอร์พบว่าการให้แรงเสริมทุกครั้งแม้ว่าจะช่วยในระยะแรกของการเรียนรู้แบบการวางเงื่อนไขแบบโอเปอแรนต์ แต่ไม่มีประสิทธิภาพดีเท่ากับการให้แรงเสริมเป็นครั้งคราว  จึงได้ทำการวิจัย โดยสามารถแบ่งการให้แรงเสริมเป็นครั้งคราวออกเป็น 4 ประเภทคือ

  1. การให้แรงเสริมตามช่วงเวลาที่แน่นอน (Fixed Interval : FI)
  2. การให้แรงเสริมตามช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน (Variable Interval : VI)
  3. การให้แรงเสริมตามอัตราส่วนที่แน่นอนหรือคงที่ (Fixed Ratio : FR)
  4. การให้แรงเสริมตามอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน (Variable Ratio : VR)

 

ตัวอย่างการแรงเสริมเป็นครั้งคราว ปรากฏตามตารางดังนี้

ประเภทของการให้แรงเสริม ความหมาย ตัวอย่างในชีวิตประจำวัน
1. การให้แรงเสริมตามช่วงเวลาที่แน่นอน (Fixed Interval : FI)

 

การกำหนดแรงเสริมในช่วงเวลาที่แน่นอน โดยที่อินทรีย์รู้เวลาการเสริมแรงอย่างชัดเจนว่าจะได้รับสิ่งเสริมแรง โปรโมชั่น 11.11 ของ Lazada หรือ Shopee , การให้ของขวัญปีใหม่ในงานปีใหม่ , เป็นต้น
2. การให้แรงเสริมตามช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน (Variable Interval : VI) แรงเสริมตามกำหนดช่วงเวลาที่แปรเปลี่ยนไป โดยที่อินทรีย์ไม่รู้ตัวว่าเวลาไหนจะได้รับสิ่งเสริมแรง แจกรางวัล 3 รางวัลสำหรับผู้เรียนที่ตั้งใจเรียนในคาบในนาทีที่ 5 , 35 ,55หรือการสอบย่อยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า

, โปรโมชั่นลดราคานาทีทอง

3. การให้แรงเสริมตามอัตราส่วนที่แน่นอนหรือคงที่ (Fixed Ratio)

 

เมื่ออินทรีย์มีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ตามจำนวนที่ต้องการแน่นอน ก็ให้สิ่งเสริมแรงเป็นการตอบสนอง การให้รางวัลนักเรียนที่สอบเข้าเข้ามหาวิทยาลัยได้ทุกปีการศึกษา , โปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 ของ Pizza Company , มา 3 จ่าย 2 ของ Hot Pot , คูปอง 10 แก้ว ฟรี 1 ของร้านกาแฟ
4. การให้แรงเสริมตามอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน (Variable Ratio : VR)

 

เมื่ออินทรีย์มีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ตามจำนวนที่ไม่แน่นอน ก็ให้สิ่งเสริมแรงเป็นการตอบสนอง ซึ่งอินทรีย์จะไม่รู้ว่าจะถูกเสริมแรงเมื่อไหร่ การยกมือตอบคำถามในห้องเรียน , การให้คำชมเชยเมื่อเห็นว่าทำได้ดีพอสมควรโดยดูตามความเหมาะสมของครู ตามวาระโอกาส , การส่งคำตอบชิงโชคในเกมตอบคำถาม , การซื้อ

ล็อตเตอรี่ เป็นต้น

 

ขอยกตัวอย่างสถานการณ์จริงในการเสริมแรมตามช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนเป็นกรณีศึกษาของรายการวิทยุหนึ่ง

เป้าหมาย คือ อยากให้คนฟังรายการตลอด

เทคนิคและกลยุทธ์ : ใช้การเสริมแรงแบบตามช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน โดยให้ผู้ฟังทางบ้านตอบคำถามจากโจทย์ที่รายการให้ 3 คำถามซึ่งเป็นคำถามที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งจะปล่อยคำถาม 3 ข้อนี้ในรายการวิทยุตั้งแต่เวลา 09.00 – 19.00 น. โดยไม่บอกว่าโจทย์คำถามเวลาไหน (บอกแค่ช่วงเวลา) ผู้ฟังที่จะตอบคำถามนี้ได้ต้องฟังคำถามครบทั้ง 3 ข้อเท่านั้นจึงจะรู้ว่าตำตอบที่ถูกคืออะไร ทำให้ผู้ฟังต้องเฝ้าฟังรายการตลอดทั้งวัน

รางวัลที่ได้รับ : ตั๋วเครื่องบินไปชมฟุตบอลโลก 2 รางวัล (สิ่งเสริมแรงดีจึงได้ผลดี)

 

 

แรงเสริมแต่ละวิธีให้ผลต่อการแสดงพฤติกรรมที่ต่างกัน และพบว่า แรงเสริมตามอัตราส่วนที่ไม่แน่นอนจะให้ผลดีในด้านที่พฤติกรรมที่พึงประสงค์จะเกิดขึ้นในอัตราสูงมาก และเกิดขึ้นต่อไปอีกเป็นเวลานานหลังจากที่ไม่ได้รับแรงเสริม

จากการศึกษาและทดลองของสกินเนอร์นั้น สามารถสรุปเป็นลักษณะ และทฤษฎีการเรียนรู้ของทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำได้ดังนี้

ลักษณะของทฤษฎี

1)  การตอบสนองเกิดจากอินทรีย์เป็นผู้กระทำขึ้นเอง (Operant Behavior)

2)  การตอบสนองเกิดขึ้นโดยตั้งใจหรือจงใจ (Voluntary Response)

3)  ให้แรงเสริมหลังจากที่มีการตอบสนองขึ้นแล้ว

4)  ถือว่ารางวัลหรือแรงเสริมมีความจำเป็นมากต่อการวางเงื่อนไขซึ่งเป็นไปตามกฎแห่งความพอใจ (Law of Effect)

5)  ผู้เรียนต้องทำอะไรอย่างหนึ่งอย่างใด จึงจะได้รับแรงเสริม

6)  เป็นการเรียนรู้ที่เกี่ยวกับกับการตอบสนองของกระบวนการทางสมองที่สูงกว่า อันมีระบบประสาทกลางเข้าไปเกี่ยวกับข้อง

สรุปทฤษฎีการเรียนรู้ (ทิศนา  แขมมณี, 2548)

1)  การกระทำใดๆ ถ้าได้รับแรงเสริม จะมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอีก ส่วนการกระทำที่ไม่มีการแรงเสริม แนวโน้มที่ความถี่ของการกระทำนั้นจะลดลงและหายไปในที่สุด

2)  แรงเสริมที่แปรเปลี่ยนทำให้การตอบสนองคงทนกว่าแรงเสริมที่ตายตัว

3)  การลงโทษทำให้เรียนรู้ได้เร็วและลืมเร็ว

4)  การให้แรงเสริมหรือให้รางวัลเมื่ออินทรีย์กระทำพฤติกรรมที่ต้องการ สามารถช่วยปรับหรือปลูกฝังนิสัยที่ต้องการได้

การนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน

1) ในการสอนการให้แรงเสริมหลังการตอบสนองที่เหมาะสมของเด็กจะช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนองที่เหมาะสมนั้น

2) การเว้นระยะแรงเสริมอย่างไม่เป็นระบบ หรือเปลี่ยนรูปแบบการเสริมแรงจะช่วยให้การตอบสนองของผู้เรียนคงทนถาวร

3)  การลงโทษที่รุนแรงเกินไป มีผลเสียมาก ผู้เรียนอาจไม่ได้เรียนรู้หรือจำสิ่งที่เรียนรู้ไม่ได้ ควรใช้วิธีการงดแรงเสริมเมื่อผู้เรียนมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์

4)  หากต้องการเปลี่ยนพฤติกรรม หรือปลูกฝังนิสัยให้แก่ผู้เรียน ควรแยกแยะขั้นตอนของปฏิกิริยาตอบสนองออกเป็นลำดับขั้น โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียน และจึงพิจารณาแรงเสริมที่จะให้แก่ผู้เรียน

นอกจากนี้การนำทฤษฎีนี้ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนนั้น มีแนวคิดที่สำคัญ คือ  การตั้งจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมคือจะต้องตั้งจุดมุ่งหมายไปในรูปของพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนสำหรับในห้องเรียนนั้น และแรงเสริมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งก็ คือ แรงเสริมทุติยภูมิ ซึ่งได้แก่ การแสดงสีหน้ายิ้มแย้ม การชมเชยจากผู้สอน คะแนนความรู้สึกที่ได้รับ ความสำเร็จและโอกาสที่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ เป็นต้น ในการเรียนการสอนผู้สอนจะต้องให้แรงเสริมเหล่านี้อย่างเหมาะสมการจัดสถานการณ์เพื่อให้ผู้เรียนได้ผลตอบแทนที่พึงประสงค์ เช่น การเคี้ยวหมากฝรั่งแทนการติดบุหรี่ การจัดโปรแกรมการเรียนการสอนแบบสำเร็จรูป สกินเนอร์เชื่อว่าผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ของแต่ละคนไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับ

1)  ความสามารถของแต่ละบุคคล

2)  โอกาสในการฝึกฝนของแต่ละคน

3)  แรงจูงใจ (รางวัลหรือสิ่งสนับสนุนรวมทั้งกำลังใจ) ซึ่งจำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพของการเรียนรู้ ส่วนการลงโทษจะให้ผลตรงข้าม

4)  บุคคลเคยมีประสบการณ์ในการเผชิญกับปัญหาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก่อนก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ง่าย กว่าการแก้ปัญหาใหม่

5)  การถ่ายทอดการเรียนรู้ที่ดี จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจสิ่งที่ต้องเรียนรู้ได้ดี

 

การลงโทษ (Punishment)

          การลงโทษ คือ การให้ผลกรรมหลังจากการแสดงพฤติกรรมทำให้พฤติกรรมนั้นลดลงหรือยุติลง ซึ่งผลกรรมที่เกิดขึ้นนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ไม่พึงพอใจ แต่เป็นอะไรก็ได้ที่ตามหลังพฤติกรรมนั้นแล้วทำให้พฤติกรรมนั้นลดลง ดังนั้นความหมายของการลงโทษจึงต้องประกอบด้วย 3 เงื่อนไขดังต่อไปนี้ (Cooper et al., 1987) คือ

1.พฤติกรรมเป้าหมายเกิดขึ้น

2.พฤติกรรมเป้าหมายนั้นจะต้องตามด้วยผลกรรมบางอย่าง

3.โอกาสการเกิดพฤติกรรมเป้าหมายนั้นลดลง เนื่องจากผลกรรมดังกล่าวเกิดขึ้น

ซึ่งการที่จะกำหนดว่าผลกรรมใดเป็นตัวลงโทษนั้นจะต้องดูที่ผลกรรมนั้นต่อพฤติกรรมเป้าหมาย นั่นคือถ้าผลกรรมนั้นทำให้พฤติกรรมเป้หมายนั้นลดลงหรือยุติลง ผลกรรมนั้นจึงจะเรียกว่าการลงโทษ สกินเนอร์ไม่เห็นด้วยกับการลงโทษเพื่อยุติพฤติกรรม เนื่องจากความไม่มีประสิทธิภาพของการลงโทษในระยะยาว ทั้งนี้เพราะการลงโทษเป็นการระงับพฤติกรรมเพียงชั่วคราวเท่านั้นเอง

 

การดำเนินการลงโทษนั้นมีเทคนิคและวิธีการลงโทษอยู่ด้วยกันหลายวิธี ได้แก่

1.การลงโทษโดยการให้มีความเจ็บปวดทางร่างกาย (Physical pain)

2.การตำหนิ (Reprimands)

3.การใช้เวลานอก (Time Out)

4.การปรับสินไหม (Response Cost)

5.การแก้ไขให้ถูกต้องเกินกว่าที่ทำผิด (Overcorrection)

 

การลงโทษมี 2 ประเภท คือ การลงโทษทางบวกและการลงโทษ (Prince, 2014)

1.การลงโทษทางบวก คือ การให้สิ่งเร้าที่อินทรีย์ (Organism) ไม่ชอบ ไม่พอใจเพื่อยุติหรือลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เช่น

– นักศึกษาคุยกันในระหว่างเรียน ครูจึงตะโกนด่าต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้น

– เด็กสัมผัสเตาที่ร้อน และกระตุกมือออกมาเพราะความเจ็บปวด

– ตำรวจให้ใบสั่งหลังจากที่ คนขับรถไม่สวมหมวกนิรภัย

2.การลงโทษทางลบ คือ การถอดถอนสิ่งเร้าที่อินทรีย์ (Organism) ชอบ พอใจ เพื่อยุติหรือลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เช่น

– เด็กแกล้งเพื่อนในชั้นเรียน จึงถูกงดการไปทัศนศึกษา

– นักเรียนคุยกันในชั้นเรียน จึงถูกยึดสติ๊กเกอร์ดาวที่ครูเคยให้ไว้ (สติ๊กเกอร์ดาวสามารถแลกเป็นคะแนนได้ภายหลัง)

– นักศึกษาใช้โทรศัพท์ถือในระหว่างการเรียนการสอน จึงถูกยึดโทษศัพท์มือถือ

– ตำรวจยึดใบขับขี่ เพื่อทำการจับปรับ เพราะไม่สวมหมวกนิรภัย

 

ตารางการเสริมแรงและการลงโทษ

ภาพการแสดงความหมายของการเสริมแรงและการลงโทษเพื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์และการเข้าใจที่ง่ายขึ้น

 

จากตารางการเสริมแรงและการลงโทษ สามารถสรุปได้ดังนี้

1)  แรงเสริมบวก  (Positive Reinforcement)  หมายถึง  การให้สิ่งเสริมแรงที่อินทรีย์ (Organism) ชอบตอบสนองหลังอินทรีย์กระทำพฤติกรรมที่พึงประสงค์

2) แรงเสริมลบ (Negative Reinforcement) หมายถึง การถอดถอนสิ่งเสริมแรงที่อินทรีย์ชอบหลังอินทรีย์ (Organism) กระทำพฤติกรรมที่พึงประสงค์ หรือ การเปลี่ยนสภาพการณ์หรือเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมบางอย่างก็อาจจะทำให้อินทรีย์ (Organism) แสดงพฤติกรรมได้

3) การลงโทษทางบวก คือ การให้สิ่งเร้าที่อินทรีย์ (Organism) ไม่ชอบ ไม่พอใจเพื่อยุติหรือลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์

4) การลงโทษทางลบ คือ การถอดถอนสิ่งเร้าที่อินทรีย์ (Organism) ชอบ พอใจ เพื่อยุติหรือลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์

 

ข้อควรจำแนกว่าอะไรคือ ทางบวก อะไรคือทางลบ อาจมีวิธีจำดังนี้

  • บวก คือ การให้ , การเพิ่ม
  • ลบ คือ  การเอาออก , การยึด , การตัดสิทธิ์ , การถอดถอน

 

การหยุดยั้งพฤติกรรม (Extinction)

          การหยุดยั้งพฤติกรรม คือการที่ทำให้พฤติกรรมที่เคยได้รับการเสริมแรง แล้วไม่ได้รับการเสริมแรงซึ่งผลจากการใช้การหยุดยั้งนั้น พฤติกรรมที่ถูกหยุดยั้งก็จะค่อยๆ ลดลง และหายไปในที่สุด อย่างเช่น กรณีที่เด็กร้องไห้โยเย เพราะต้องการขนม คุณแม่ก็ให้ขนมเป็นประจำ ต่อมาคุณแม่ทนไม่ไหวจึงยุติการให้ขนม (หยุดให้การเสริมแรง) เท่ากับว่าคุณแม่ใช้การหยุดยั้ง ผลที่ตามมาคือพฤติกรรมร้องไห้โยเยของลูกเริ่มลดลง

ความคิดเห็น